ธ.ทิสโก้แนะ ขายบอนด์ไทย ซื้อบอนด์โลก

เน้นอันดับเรตติ้ง A+ ขึ้นไป

            นายณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ ผู้อำนวยการอาวุโสที่ปรึกษาการลงทุนทิสโก้เวลธ์ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หลังจากที่ธนาคารกลางทั่วโลกได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อที่พุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี ทำให้อัตราผลตอบแทนปัจจุบัน (Current Yield) ของกองทุนรวมตราสารหนี้กลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว อย่างสหรัฐฯ ยุโรป และอังกฤษ ได้ปรับตัวขึ้นมาสูงประมาณ 5% ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่าอัตราผลตอบแทนปัจจุบันของกองทุนรวมตราสารหนี้ไทยส่วนมากอยู่ที่เพียงประมาณ 2% เท่านั้น ธนาคารทิสโก้จึงแนะนำให้นักลงทุนขายกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ไทย และโยกเงินมาลงทุนในกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้โลก เพื่อเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่น่าสนใจ อีกทั้งควรเลือกลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้อายุเฉลี่ยตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป เพื่อรับส่วนต่างจากราคาหน้าตั๋วหากอัตราดอกเบี้ยกลับมาเป็นขาลงในอนาคต

            “การเลือกลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้มักจะสร้างผลตอบแทนที่ดีในช่วงที่เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย อีกทั้งยังช่วยจำกัดความเสี่ยงให้กับพอร์ตการลงทุนอีกด้วย ซึ่งธนาคารทิสโก้มองว่า กองทุนรวมตราสารหนี้ที่น่าสนใจลงทุนในช่วงนี้ คือกองทุนรวมตราสารหนี้โลก “Global bond” ที่เน้นลงทุนในกลุ่มตราสารหนี้ประเทศพัฒนาแล้ว และได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit rating) โดยรวมอยู่ในกลุ่มระดับลงทุน (Investment grade) และหลีกเลี่ยงการลงทุนในตราสารหนี้กลุ่มต่ำกว่าระดับลงทุน (Non-Investment Grade) หรือ High Yield bond เพื่อลดความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ในช่วงที่เศรษฐกิจอาจเข้าสู่ภาวะถดถอยในปี 2567” นายณัฐกฤติกล่าว

            สำหรับการเลือกลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ หรือการลงทุนโดยตรงในตราสารหนี้นั้น นอกจากนักลงทุนควรพิจารณาอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้แล้ว ยังควรพิจารณาอีก 2 ประเด็นก่อนตัดสินใจลงทุน ได้แก่

  1. Credit rating หรืออันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ ในภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดีนัก นักลงทุนควรเน้นลงทุนในกลุ่ม Investment grade ซึ่งมีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ระดับ AAA ถึง A+ เพราะผู้ออกตราสารมีฐานะทางการเงินและความสามารถในการชำระหนี้ที่สูงจึงมีความเสี่ยงต่ำ และควรหลีกเลี่ยงกองทุนรวมตราสารหนี้ที่ลงทุนใน High Yield Bond หรือตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่า BB+ เพราะผู้ออกตราสารหนี้มักจะมีฐานะการเงินอ่อนแอและมีโอกาสผิดนัดชำระหนี้ (Default) ที่มากกว่ากลุ่ม Investment grade ซึ่งข้อมูลในอดีตพบว่าในช่วงที่เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะวิกฤติตราสารหนี้ประเภท High Yield Bond มักให้ผลตอบแทนติดลบ เช่น ช่วงวิกฤต Dot-com ให้ผลตอบแทนติดลบ 4.47% วิกฤต COVID-19 ให้ผลตอบแทนติดลบ 11.15%
  2. การพิจารณาอายุเฉลี่ยของตราสารหนี้ (Duration) หากอัตราดอกเบี้ยเป็นขาลง ควรเลือกลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ที่มีอายุเฉลี่ยของตราสารหนี้ยาว เพื่อโอกาสในการรับส่วนต่างกำไร (Capital gain) เพราะราคาตราสารหนี้มักจะปรับตัวขึ้นสวนทางกับอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง นอกจากนี้ ราคาของตราสารหนี้ที่มีอายุเฉลี่ยยาว มักจะสร้างส่วนต่างกำไรได้มากกว่าตราสารหนี้ที่มีอายุเฉลี่ยสั้น
Scroll to Top
ไอคอน PDPA

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น และนำเสนอโฆษณาที่เกี่ยวข้องและตรงกับความสนใจของท่าน โดยท่านสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก นโยบายการใช้คุกกี้ กรุณากดยอมรับเพื่อยินยอมให้เราใช้คุกกี้

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    คุกกี้ที่จำเป็นคือสิ่งที่สำคัญสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ ทำให้คุณสามารถใช้งานและเรียกดูเว็บไซต์ได้ตามปกติ คุณไม่สามารถปิดการใช้งานคุกกี้เหล่านี้ในระบบของเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้ที่จำเป็น

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

บันทึกการตั้งค่า