บล.ทิสโก้คาดระยะสั้นหุ้นไทยอาจพักฐาน แต่เป็นจังหวะสะสมเพิ่ม

    บล.ทิสโก้ชี้ตลาดหุ้นไทยเริ่มแพงเมื่อเทียบกับภูมิภาค และมีโอกาสพักฐานในระยะสั้น แต่มองเป็นจังหวะสะสมเพิ่มรับเงินทุนต่างชาติไหลเข้าในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้า พร้อมเปิด 3 เปิดวิธีเลือกหุ้นเด่นน่าลงทุน

    นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด (Mr. Apichat Poobunjirdkul, Senior Strategist, TISCO Securities Co., Ltd) เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นแบบ “พลิกหน้ามือเป็นหลังมือ” เพราะได้รับปัจจัยบวกสองประเด็นคือ 1. นายโจ ไบเดน ชนะการเลือกตั้งสหรัฐฯ ตามที่ประเมินไว้ ซึ่งนโยบายของ “ไบเดน” คาดจะเป็นผลดีต่อการค้า รวมถึงเศรษฐกิจโลก 2. ความคืบหน้าของวัคซีนป้องกัน COVID -19 ใกล้ความจริงมากขึ้น และผลการทดลองมีประสิทธิภาพป้องกัน COVID-19 ได้สูงกว่า 90% โดยหากการคิดค้นวัคซีนสำเร็จจะทำให้การส่งออกและการท่องเที่ยวกลับมาฟื้นตัว ซึ่งไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่จะได้รับประโยชน์จากประเด็นดังกล่าว 

    “จากสองปัจจัยข้างต้นหนุนให้กระแสเงินทุนต่างประเทศไหลเข้าไทย และนักลงทุนต่างชาติพลิกกลับมาซื้อสุทธิเป็นครั้งแรกในรอบ 16 เดือน ส่งผลให้ดัชนีหุ้นไทย (SET Index) วิ่งขึ้น 4 สัปดาห์ติดต่อกันตลอดทั้งเดือน พ.ย. และดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้นกว่า 200 จุด ทะลุระดับ 1,400 จุดไปได้ ซึ่งดัชนีดังกล่าวดีกว่าที่ บล. ทิสโก้ประเมินไว้ว่าดัชนีสิ้นปีจะอยู่ที่ 1,370 จุด” นายอภิชาติกล่าว  

    ทั้งนี้ บล.ทิสโก้มองว่าในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้าตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับขึ้นอีก โดยคาดว่านักลงทุนต่างชาติมีโอกาสซื้อสุทธิอีก 4-5 หมื่นล้านบาท ซึ่งจากการศึกษาความเคลื่อนไหวของ SET Index และทิศทางการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติพบว่า เม็ดเงินต่างชาติที่ไหลเข้า และไหลออกทุก ๆ 1 หมื่นล้านบาท จะมีผลให้ SET Index เปลี่ยนแปลงขึ้น หรือลงราว 29 จุด เพราะฉะนั้นหากเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าตามที่ประเมินไว้ มีโอกาสจะได้เห็น SET Index ที่ระดับ 1,520-1,540 ในช่วงเวลา 2-3 เดือนข้างหน้า 

    อย่างไรก็ตาม แม้ตลาดหุ้นไทยยังได้อานิสงส์จากแนวโน้มกระแสเงินทุนไหลเข้า แต่ระหว่างทางมีโอกาสสูงที่จะเกิดการพักฐานในระยะสั้น เนื่องจาก SET Index ณ ปัจจุบันที่ขึ้นมาอยู่ที่บริเวณ 1,410 จุด ส่งผลให้ราคาหุ้นเริ่มแพงเมื่อเทียบกับภูมิภาคอีกครั้ง โดยปัจจุบันหุ้นไทยมีระดับ Fwd. PER ปี 21F สูงกว่า 18 เท่า ขณะที่ Forward PER ของตลาดหุ้นภูมิภาคนี้ (MSCI Asia ex. JP) ที่อยู่ที่ 15.4 เท่า นอกจากนี้ ทางปัจจัยเทคนิคยังเกิดสัญญาณเชิงลบด้วย ทั้งภาวะ “Overbought” และ “Negative Divergence”  เพราะฉะนั้น จึงแนะนำนักลงทุนไม่ต้องรีบร้อนไล่ซื้อ แต่ควรรอให้ตลาดปรับฐานลงมาก่อน  และต้องเลือกลงทุนหุ้นเป็นรายตัวมากขึ้น  

    สำหรับหุ้นที่น่าสนใจในเดือน ธ.ค. นี้ นอกจากจะเป็นหุ้นขนาดใหญ่แล้ว ควรเลือกหุ้นที่มีคุณสมบัติ 3 ประการ คือ 1. “Underperform” โดยราคาหุ้นในปีนี้ต้องปรับตัวลงมามากกว่า SET Index ที่ปรับลง 10% และปัจจุบันยังขึ้นน้อยอยู่ 2. “Underowned” คือหุ้นที่ต่างชาติลดสัดส่วนการถือครองหุ้นลงมากจากปีที่แล้วและปัจจุบันยังคงถือครองหุ้นต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของปีนี้ 3. “Undervalued” หุ้นที่ราคาปัจจุบันยังมีโอกาสปรับขึ้นหากเทียบกับมูลค่าที่เหมาะสมที่ บล.ทิสโก้ประเมิน นอกจากนี้ ควรเป็นหุ้นที่คาดจะมีปัจจัยบวกสนับสนุนเฉพาะตัว เช่น BAM, BJC, CPN, SCC และ STEC และ/หรือ หุ้นที่มีการจ่ายปันผลดี เช่น KKP, RATCH และ TVO   

    โดยสรุป หุ้นเด่นเดือน ธ.ค. คือ BAM, BJC, CPN, KKP, RATCH, SCC, STEC และ TVO สำหรับแนวรับ และแนวต้านสำคัญของ SET Index เดือนนี้อยู่ที่ 1,390-1,400, 1,365-1,370 และ 1,450, 1,480 จุด ตามลำดับ

Scroll to Top
ไอคอน PDPA

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น และนำเสนอโฆษณาที่เกี่ยวข้องและตรงกับความสนใจของท่าน โดยท่านสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก นโยบายการใช้คุกกี้ กรุณากดยอมรับเพื่อยินยอมให้เราใช้คุกกี้

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    คุกกี้ที่จำเป็นคือสิ่งที่สำคัญสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ ทำให้คุณสามารถใช้งานและเรียกดูเว็บไซต์ได้ตามปกติ คุณไม่สามารถปิดการใช้งานคุกกี้เหล่านี้ในระบบของเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้ที่จำเป็น

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

บันทึกการตั้งค่า