บลจ.ทิสโก้ชี้ ดัชนีหุ้นไทยลงมาใกล้จุดต่ำสุด ลุ้น SET ฟื้นตัว จากปัจจัยหนุนทั้งราคาหุ้นอยู่ในระดับที่น่าสนใจ รัฐฯ เดินหน้าหนุนตลาดหุ้น และใช้นโยบายการเงินผ่อนคลาย ชี้จังหวะเหมาะซื้อกองทุนเปิด ทิสโก้ แอคทีฟ ทริกเกอร์ 7M#1 (TACTIVET7M1) เปิด IPO ถึง 12 มีนาคม 2568
นายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด (Mr. Saharat Chudsuwan Managing Director of TISCOASSET) เปิดเผยว่า บลจ.ทิสโก้มองว่าดัชนีหุ้นไทยที่แกว่งตัวอยู่ในระดับ 1,200 จุด น่าจะเป็นระดับที่ใกล้ถึงจุดต่ำสุดแล้ว โดยพิจารณาจากดัชนีหุ้นไทยย้อนหลัง 10 ปี พบว่าดัชนีมักจะไม่ปรับตัวลงไปมากกว่า 1,200 จุด จะมีเพียงช่วงปี 2556 ปี 2558 และ ปี 2563 ที่ดัชนีหลุดระดับ 1,200 จุดในระยะสั้นๆ และฟื้นตัวกลับมาได้อย่างรวดเร็ว
ดังนั้น จังหวะนี้จึงเหมาะที่จะเข้าลงทุนในกองทุนเปิด ทิสโก้ แอคทีฟ ทริกเกอร์ 7M#1 (TACTIVET71) ความเสี่ยงระดับ 6 (เสี่ยงสูง) ลงทุนในตราสารทุนเพื่อให้กองทุนมีมูลค่าการลงทุนสุทธิในตราสารทุน ไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV โดยกองทุนนี้จะเป็นกองทุนที่ทางบลจ.ทิสโก้ในฐานะผู้บริหารจัดการกองทุนเพื่อให้ถึงเป้าหมาย ได้ร่วมมือกับทางธนาคารไทยพาณิชย์เพื่อนำเสนอกองทุนนี้ให้กับลูกค้าของธนาคารไทยพาณิชย์เท่านั้น ทั้งนี้จะลงทุนในหุ้นสามัญของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ/หรือตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอตั้งเป้าหมายเลิกโครงการเมื่อหน่วยลงทุนมีมูลค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 10.73 บาท ณ วันทำการใด หรือเป็นเวลา 3 วันทำการติดต่อกันขึ้นไป เปิดเสนอขายครั้งแรกตั้งแต่วันที่ 25 กุมภาพันธ์ – 12 มีนาคม 2568 ผ่านธนาคารไทยพาณิชย์ทุกสาขา และ SCB Easy มูลค่าจองซื้อขั้นต่ำ 1,000 บาท
นายสาห์รัช กล่าวอีกว่า บลจ.ทิสโก้ค่อนข้างมั่นใจว่าจะสามารถบริหารกองทุนให้เป็นไปตามเป้าหมายได้ เพราะหุ้นไทยมีปัจจัยบวกรออยู่ทั้งรัฐบาลเตรียมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและเดินหน้าโครงการเมกะโปรเจคต่างๆ นอกจากนี้ มีกระแสข่าวว่ากระทรวงการคลังหารือร่วมกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อออกนโยบายสนับสนุนตลาดหุ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น สนับสนุนให้บริษัทจดทะเบียนซื้อหุ้นคืน การพิจารณาเพิ่มวงเงินกองทุนลดหย่อนภาษี เป็นต้น ขณะที่นโยบายการเงินของไทยก็อยู่ในระดับที่ผ่อนคลายหลังจากการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งล่าสุดได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25%
ในส่วนของราคาหุ้นก็อยู่ในระดับที่น่าสนใจโดยปัจจุบันบริษัทจดทะเบียนไทยกว่า 58% ซื้อขายด้วยอัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่าตามบัญชี(P/BV) ต่ำกว่า 1 เท่า ทำให้นักลงทุนบางกลุ่มอาจมองหาการลงทุนในหุ้นที่มีศักยภาพการเติบโตสูง และจ่ายปันผลในระดับสูง ขณะที่อัตราส่วนราคาตลาดต่อกำไรสุทธิ (P/E) ตลาดหุ้นไทย ณ วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2568 อยู่ที่ 12.9 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปี ซึ่งอยู่ในระดับ 15.4 เท่า
สำหรับธีมหุ้นที่น่าสนใจลงทุนในช่วงนี้ บลจ.ทิสโก้มองว่าควรเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มที่มีผลการดำเนินงานดี มีอัตราการจ่ายเงินปันผลในระดับสูง รวมทั้งบริษัทที่มีโอกาสซื้อหุ้นคืนหากราคาหุ้นปรับลงแรง เช่น หุ้นกลุ่มธนาคาร หุ้นกลุ่มสื่อสาร จะมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาด รวมทั้ง หุ้นกลุ่มที่ราคาอาจปรับขึ้นหากรัฐบาลออกนโยบายสนับสนุนการท่องเที่ยว เช่น หุ้นกลุ่มท่องเที่ยว ค้าปลีก และเฮลธ์แคร์ เป็นต้น
ผู้ลงทุนไม่สามารถขายคืนหน่วยลงทุนนี้ในช่วงระยะเวลา 7 เดือนได้ ดังนั้นหากมีปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนดังกล่าวผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก การกำหนดเป้าหมาย 10.73 บาทต่อหน่วย ไม่ใช่การรับประกันผลตอบแทน หากหน่วยลงทุนมีมูลค่าไม่เป็นไปตามเป้าหมายภายในระยะเวลา 7 เดือน ผู้ลงทุนสามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้ทุกวันทำการ กองทุนยังคงมีเป้าหมายเลิกโครงการเมื่อหน่วยลงทุนมีมูลค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 10.30 บาทต่อหน่วย โดยเป็นเป้าหมายก่อนหักค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง (ถ้ามี)
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวม มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต และสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดหรือขอรับหนังสือชี้ชวนกองทุนรวมอื่นๆ ของบลจ.ทิสโก้ได้ที่ บลจ.ทิสโก้ หรือธนาคารทิสโก้ทุกสาขา หรือ TISCO Contact Center โทร. 0 2633 6000 กด 4, 0 2080 6000 กด 4 และ www.tiscoasset.com หรือ แอปพลิเคชัน TISCO My Funds