ถ้าวันหนึ่งโชคชะตานำพาคุณให้กลายเป็น “เศรษฐีเงินล้าน” เคยคิดหรือยังว่า จะบริหารจัดการเงินที่มีอย่างไรให้ลงตัว แน่นอนว่าการมีเงินเป็นเรื่องที่ดี... แต่จะทำอย่างไรให้เงินที่มี ทำให้เราเป็นเศรษฐีอย่างถาวรได้?
คนที่จะร่ำรวยเป็นเศรษฐีเงินล้าน อาจจะแบ่งอย่างกว้างๆ ได้เป็น 2 รูปแบบคือ “เศรษฐีเก่า” ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีรากฐานการเงินเดิมที่ดีอยู่แล้ว เช่น ครอบครัวร่ำรวยมาหลายชั่วอายุคน มีรายได้จากการลงทุนสะสมอย่างต่อเนื่อง ฯลฯ และ “เศรษฐีหน้าใหม่” ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ร่ำรวยแบบฉับพลัน อาจเกิดขึ้นได้หลากหลายรูปแบบ เช่น มีโชคดี (ถูกหวย,ได้มรดก,ชิงรางวัลได้), ธุรกิจได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้บริโภคอย่างคาดไม่ถึง จนมั่งคั่งอย่างรวดเร็ว ฯลฯ
แต่ไม่ว่าจะเป็น “เศรษฐีเก่า” หรือ “เศรษฐีใหม่” ก็ตาม คนทั้งสองกลุ่มนี้ ก็ขึ้นชื่อว่า “โชคดี” ทั้งสิ้น เพราะมี “เงินล้าน” พร้อมใช้จ่ายในมือได้อย่างสบายๆ ... อย่างไรก็ตามในความเป็นจริง แม้จะมีเงินหลักล้านแล้ว แต่ก็คงจะชะล่าใจไม่ได้ เพราะถ้าวางเงินนอนนิ่งๆ มูลค่าเงินก็อาจจะถูกลดทอนตาม “เงินเฟ้อ” ซึ่งทำให้ข้าวของเครื่องใช้ รวมถึงบริการต่างๆ มีราคาสูงขึ้น
แล้วทำอย่างไร ที่จะบริหารจัดการ “เงินล้าน” ให้คงอยู่ต่อไปได้อย่างยาวนาน มีดอกผลงอกเงย ช่วยให้มีกินมีใช้แบบถาวรได้บ้าง?
แบ่งเงินเป็นสัดส่วน
เมื่อมีเงินจำนวนมาก การแบ่งเงินออกเป็นก้อนๆ จะช่วยให้สามารถกำหนดรูปแบบการใช้จ่ายได้เหมาะสมยิ่งขึ้น ดังนั้นเบื้องต้น จึงอาจจัดสรรเงินตามลักษณะ ดังนี้
- เงินสำหรับใช้จ่ายประจำเดือน (ประมาณ50%) – เงินส่วนนี้มักเป็นรายจ่ายประจำที่พอจะประมาณการได้ เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าอาหาร ฯลฯ
- เงินสำหรับการออมและการลงทุน (ประมาณ25%) – เป็นเงินสำหรับเก็บออมและลงทุนเพื่อให้ดอกผลงอกเงย โดยสัดส่วนการลงทุนขึ้นอยู่กับความเสี่ยง
ที่รับได้ เช่น
– กรณีรับความเสี่ยงได้สูง อาจจัดสัดส่วนลงทุนในหุ้นหรือกองทุนที่มีความเสี่ยงสูง เช่น หุ้น 80% และแบบมีความเสี่ยงต่ำ เช่น พันธบัตร,เงินฝาก 20%
– กรณีรับความเสี่ยงได้ปานกลาง อาจจัดสัดส่วนลงทุนในหุ้นหรือกองทุนที่มีความเสี่ยงสูง 50% และแบบมีความเสี่ยงต่ำ 50%
– กรณีรับความเสี่ยงได้ต่ำ อาจจัดสัดส่วนลงทุนในหุ้นหรือกองทุนที่มีความเสี่ยงสูง 20% และแบบมีความเสี่ยงต่ำ 80% - เงินสำหรับสันทนาการ (ประมาณ25%) เป็นเงินส่วนที่เหลือจาก 2 ส่วนข้างต้น สำหรับใช้จ่ายเพื่อความสุขของตัวเอง ไม่ว่าจะกิน เที่ยว ฯลฯ เพราะแน่นอนคนเราเวลามีเงินก้อน หรือร่ำรวยอย่างรวดเร็ว ก็ย่อมอยากใช้เงินเพื่อความสุข หากไม่มีการกันเงินส่วนนี้ไว้ แล้วไปเก็บออมหรือลงทุนหมดแบบสุดโต่ง ในท้ายที่สุด ก็อาจจะหมดความอดทนแล้วนำเงินจากส่วนอื่นมาใช้จนมากเกินพอดี
ให้ผู้เชี่ยวชาญบริหารเงิน
เมื่อจัดสรรเงินล้านออกเป็นส่วนๆ และกำหนดรูปแบบวิธีการใช้จ่ายแล้ว หลายคนก็อาจสามารถเลือกสินทรัพย์ และผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เหมาะกับความเสี่ยงของตัวเองได้ แต่อีกหลายๆคนก็อาจจะยังรู้สึกว่าผลิตภัณฑ์การลงทุนบางชนิด มีรายละเอียดที่ยากหากจะทำความเข้าใจ และไม่มีเวลาเพียงพอที่จะติดตามข้อมูลการลงทุนด้วย ประเด็นนี้ไม่ใช่ปัญหาที่น่าหนักใจ เพราะปัจจุบันสถาบันการเงินมี “ผู้ให้คำแนะนำทางการเงิน” ซึ่งจะช่วยจัดสรรเงินลงทุน โดยดูจากความเสี่ยงที่เจ้าของเงินยอมรับได้และผลตอบแทนที่คาดหวัง ตัวเลือกการลงทุนที่ได้รับความนิยม คือ
- กองทุนรวม เป็นกองทุนที่มีการกำหนดนโยบายของแต่ละกองทุนไว้แล้ว เช่น กำหนดให้มีนโยบายลงทุนในหุ้น ,ตราสารหนี้, ลงทุนแบบผสมทั้งหุ้นและตราสารหนี้ ฯลฯ ซึ่งปัจจุบันมีให้เลือกเป็นจำนวนมาก หรือ จำง่ายๆก็คือ กองทุนรวม เปรียบเสมือนการเข้าไปเลือกซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่มีการตัดไว้ให้เลือกเรียบร้อยแล้วในร้านค้าต่างๆนั่นเอง
- กองทุนส่วนบุคคล เป็นกองทุนที่สามารถกำหนดนโยบายการลงทุนได้ตามที่นักลงทุนต้องการ แต่กองทุนชนิดนี้จะใช้เงินลงทุนค่อนข้างสูง ซึ่งปัจจุบันยังคงอยู่ในระดับ “หลักล้าน” จึงจะสามารถจัดตั้งได้ เรียกง่ายๆก็คือ กองทุนบุคคล เปรียบเสมือนการที่นักลงทุนเข้าไปในร้านตัดเสื้อ เพื่อให้วัดตัว ตัดชุด ตามรูปแบบที่ตัวเองต้องการ ซึ่งข้อดีก็คือ สามารถกำหนดให้มีความแตกต่างจากสินค้าที่มีในตลาดอย่างไรก็ได้
ประกันสุขภาพบล็อกค่าใช้จ่ายไม่คาดฝัน
เมื่อมีการจัดสรรเงินเพื่อการออมและการลงทุนอย่างเป็นระบบแล้ว ก็ควรให้ความสนใจกับ “ประกันสุขภาพ” ด้วย เพราะ “ประกันสุขภาพ” เป็นตัวช่วยสำคัญที่จะเข้ามาลดค่าใช้ด้านการรักษาพยาบาล ซึ่งมีแนวโน้มแพงขึ้นทุกปี และในกรณีที่ต้องรักษาตัวจากโรคร้ายซึ่งเกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน “ประกันสุขภาพ” ก็จะเข้ามาแบ่งเบาค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ ช่วยให้มีเงินเหลือเพื่อใช้ในกิจกรรมอื่นๆที่วางแผนไว้สำหรับอนาคตได้
แม้ “โชค” อาจเป็นสิ่งที่บริหารจัดการไม่ได้ แต่เราสามารถบริหาร “เงินล้าน” ที่มี ให้คงอยู่กับเราต่อไปได้อย่างแน่นอน