ในเวลาที่นักลงทุนกำลังหาหนทางโยกเงิน หรือลดสัดส่วนเงินลงทุนจากแหล่งที่ไม่มั่นใจ ไปพักในแหล่งที่ปลอดภัยขึ้น สิ่งที่หลายคนกังวลก็คือ เงินก้อนที่จะเอาออกมานั้น จะไปอยู่ในที่ๆ “ให้ผลตอบแทนเหมาะสม” และ “เงินต้นไม่หาย” ตามที่ต้องการหรือไม่? ถ้าอย่างนั้น เราลองมาดูกันดีไหมว่า ควรจะวิเคราะห์เรื่องนี้กันอย่างไร
ก่อนอื่นคงต้องเล่าก่อนว่า ปัจจุบัน “แหล่งพักเงิน” ที่สามารถแปลงเป็นเงินสดได้เร็วมีด้วยกัน 2 กลุ่มคือ
- กลุ่มกองทุนตราสารหนี้ ซึ่งจะมีตั้งแต่กลุ่มกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น (money market) และกองทุนตราสารหนี้ที่มีอายุตราสาร (Duration) เกิน 1 ปี ที่มีผลตอบแทนสูงกว่า
- บัญชีเงินฝาก ทั้งแบบออมทรัพย์อัตราดอกเบี้ยพิเศษ และบัญชีฝากประจำ โดยหากวิเคราะห์แหล่งพักเงินทั้งหมดนี้จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีสิ่งที่ต้องทำความเข้าใจ และใช้ความระมัดระวังที่แตกต่างกัน
ขีดเส้นใต้ 3 ข้อต้องระวัง
- ระยะเวลาในการเปลี่ยนเป็นเงินสดของกองทุนตราสารหนี้ โดยหากเป็นกลุ่ม money market จะสามารถขายออกเป็นเงินสดได้ในวันทำการถัดไป (T+1) ส่วนกองตราสารหนี้ระยะกลางบางกอง อาจเป็น (T+2) หรือบางกองอาจมีข้อจำกัดตามแต่กองทุนนั้นๆ ระบุไว้
- ความผันผวนของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ (NAV) กองทุนตราสารหนี้ เนื่องจากผู้จัดการกองทุนมักจะลงทุนในตราสารหนี้ (หุ้นกู้, พันธบัตร) ที่ซื้อขายในตลาดรอง ซึ่งจำเป็นต้องมีการแสดงราคาตลาดให้เป็นปัจจุบัน (mark to market) ตามราคาที่มีการซื้อขายในตลาดในแต่ละวัน ทำให้มีโอกาสที่ NAV จะลดลงหากราคาตราสารหนี้ลดลง จากสาเหตุต่างๆ ดังนี้
- การผิดนัดชำระหนี้ของผู้ออกตราสารหนี้
- เครดิตเรตติ้ง ที่ลดลงจากสถาณะการดำเนินงานของผู้ออกตราสารหนี้
- อัตราดอกเบี้ยตราสารหนี้ฉบับใหม่ๆ ที่เพิ่มขึ้นทำให้ราคาตราสารหนี้เดิมต้องลดราคา เพื่อให้ผู้ซื้อรายใหม่ได้รับผลตอบแทนใกล้เคียงกับตราสารหนี้ออกใหม่
- อัตราแลกเปลี่ยน กรณีมีการนำเงินไปลงทุนต่างประเทศ
- การเปลี่ยนแปลงของดอกเบี้ยธนาคาร ซึ่งมีการปรับขึ้นลงตามสภาวะเศรษฐกิจ รวมถึงภาพรวมภาวะดอกเบี้ยจะเป็นอีกปัจจัยที่สำคัญกล่าวคือ ในภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น ราคาหน่วยลงทุนของกองทุนตราสารหนี้ ณ สิ้นวัน อาจปรับตัวลดลง จนทำให้นักลงทุนมีโอกาสขาดทุน หรือได้ผลตอบแทนลดลง ในขณะที่การฝากเงินในบัญชีออมทรัพย์มีโอกาสได้ดอกเบี้ยที่ปรับสูงขึ้น
และแม้ปัจจุบันดอกเบี้ยนโยบายของไทยยังอยู่ในระดับ “คงที่” แต่ด้วยแรงกดดันจากภายนอก และแนวโน้มเงินเฟ้อที่ค่อยๆ ปรับตัวขึ้น ทำให้ในอนาคตข้างหน้า ไทยเราก็มีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยเช่นกัน ทีม Wealth Manager จึงแนะนำ การฝากเงินออมทรัพย์ดอกเบี้ยพิเศษ หรือฝากประจำระยะไม่เกิน 1 ปี มากกว่าการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น
เปรียบเทียบข้อดีข้อเสียแหล่งพักเงิน
กองทุนตราสารหนี้ที่ Duration ไม่เกิน 1 ปี (กลุ่ม Money market) | กองทุนตราสารหนี้ (ไม่นับกองทุนรวมต่างประเทศ) | บัญชีฝากประจำ | บัญชีออมทรัพย์พิเศษ | |
ผลตอบแทนสุทธิ | ประมาณ 0.6 – 1.4% | ประมาณ 1.0 – 2.0% | ประมาณ 1.0 – 1.8% | ประมาณ 1.0 – 1.4% |
ความเสี่ยงต่อเงินต้น | มี (ยกเว้น กองที่ลงทุนในตั๋วเงินคลังหรือฝากเงินล้วน) | มี | ไม่มี (คุ้มครองตามประกาศสถาบันคุ้มครองเงินฝาก) | ไม่มี (คุ้มครองตามประกาศสถาบันคุ้มครองเงินฝาก) |
ข้อดี | สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ ในวันทำการถัดไป | ผลตอบแทนค่อนข้างสูง | ดอกเบี้ยค่อนข้างสูง | มีความคล่องตัวสูง |
ข้อเสีย/ ข้อควรระวัง | ผลตอบแทนต่ำ | มีความเสี่ยงที่ NAV ลดลงในภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น | อาจเสียโอกาสในการรับดอกเบี้ยที่สูงขึ้น หากดอกเบี้ยปรับขึ้น | ดอกเบี้ยมีโอกาสปรับลงตามประกาศของแบงก์ และมีกำหนดขั้นต่ำในการฝาก |
การพักเงินในแหล่งที่ปลอดภัย ไม่มีคำตอบใดเป็นคำตอบสุดท้ายแบบตายตัว เพราะแต่ละช่วงเวลาสถานการณ์ต่างๆ ก็เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นสำคัญที่สุดก็คือ นักลงทุนคววรจะรู้หลักกการ เพื่อใช้เปรียบเทียบ และลงทุนให้เหมาะสมที่สุดในช่วงเวลานั้นๆ