หลังจากที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ จนดัชนี SET Index ลงไปทำระดับต่ำสุดที่ราว 1,050 จุด ในช่วงไตรมาสสองที่ผ่านมา พบว่าตลาดหุ้นไทยกลับมาฟื้นตัวโดดเด่นในช่วงเดือนก.ค. โดยบวกมากถึง +14% นำโดยแรงซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติเป็นเดือนแรกในรอบปีนี้
สาเหตุสำคัญที่ช่วยสนับสนุนตลาดหุ้นไทยนั้นมาจากปัจจัยเฉพาะตัวของตลาดหุ้นไทยเอง นำโดยปัจจัยด้านมูลค่าหุ้น (Valuation) ที่ค่อนข้างสะท้อนความเสี่ยงขาลงที่จำกัด โดยดูได้จากมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้นของ SET Index ที่ราว 1,070 จุด ซึ่งคำนวณได้จากข้อมูลในงบการเงินของแต่ละบริษัทจดทะเบียนรวมกัน ประกอบกับการจ่ายเงินปันผลในระดับสูงของหุ้นขนาดใหญ่ในไทยซึ่งทำให้ SET Index มีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลต่อปีจูงใจที่ระดับราว 4-5% และเมื่อประกอบกับแผนการซื้อหุ้นคืนของบริษัทจดทะเบียนในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม จึงเป็นการสะท้อนว่าราคาหุ้นดูเหมือนจะลดลงมากเกินไปและบ่งบอกถึงความเข้มแข็งของฐานะทางการเงินของบริษัทจดทะเบียนโดยรวม จึงมีโอกาสสูงที่หุ้นไทยนั้นได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในช่วงที่ผ่านมา
นอกจากนั้น ปัจจัยมหภาคที่มีความคลี่คลายในเชิงบวกมากขึ้น นำโดยความชัดเจนของอัตรากำแพงภาษีนำเข้าที่เรียกเก็บโดยสหรัฐฯ ซึ่งอัตราภาษีที่ไทยถูกเรียกเก็บที่ 19% นั้นลดลงมาจากระดับ 36% ที่ประกาศในครั้งแรก และเป็นอัตราที่ไทยยังสามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันได้อยู่เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ส่งผลให้ภาคเศรษฐกิจสามารถตัดสินใจการวางแผนและเดินหน้าทางธุรกิจต่อไปได้ จึงส่งผลให้หุ้นไทยกลับมาปรับตัวขึ้นโดดเด่นได้อีกครั้ง
มองไปข้างหน้า เชื่อว่านักลงทุนในตลาดยังคงมีความคาดหวังเชิงบวกต่อเนื่องต่อการลดดอกเบี้ยนโยบายจากทั้งธนาคารกลางสหรัฐฯ และธนาคารแห่งประเทศไทยในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งเป็นผลพลอยได้หลังจากที่มีความชัดเจนเรื่องกำแพงภาษีการค้า โดยที่ปัจจัยเรื่องอัตราดอกเบี้ยค่อนข้างมีความสำคัญต่อทั้งเศรษฐกิจไทยและตลาดหุ้นไทย บนภาพของหนี้ภาคครัวเรือนและภาครัฐบาลในระดับสูงเมื่อเทียบต่อขนาดเศรษฐกิจ แต่ทั้งนี้ ผลบวกของดอกเบี้ยที่ลดลงจะยังไม่สะท้อนในเศรษฐกิจจริงทันที โดยในอดีตมักจะทิ้งช่วงไปราว 6-12 เดือน จึงมีความเป็นไปได้ที่นักลงทุนอาจเฝ้ารอพัฒนาการเชิงบวกจากดอกเบี้ยต่อระบบเศรษฐกิจ รวมถึงการปรับตัวของภาคธุรกิจต่อกำแพงภาษีในช่วงที่เหลือของปีว่าสอดคล้องกับราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมามากน้อยแค่ไหน