ครึ่งแรกของปี 2025 ที่ผ่านไป เป็นช่วงเวลา 6 เดือน ที่แม้ว่าตลาดหุ้นทั่วโลกจะยังสามารถให้ผลตอบแทนที่เป็นบวกได้ แต่มีปัจจัยมากกมายที่ส่งผลให้ความผันผวนเพิ่มขึ้น เช่น ประเด็นการเพิ่มภาษีสินค้านำเข้าโดยสหรัฐฯ และความขัดแย้งในตะวันออกกลาง โดยถึงวันนี้ ทั้งสองประเด็นก็ยังไม่มีข้อสรุปที่เด็ดขาด ส่งผลให้ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2025 โลกการเงินยังคงเผชิญกับความผันผวนจากหลายปัจจัย โดยหนึ่งในนั้น คือนโยบายการคลังของสหรัฐฯ ที่มีผลกระทบต่อค่าเงินดอลลาร์และแนวโน้มการลงทุนทั่วโลก
นโยบายการคลังสหรัฐฯ: หนี้สาธารณะพุ่งสูง กดดันค่าเงินดอลลาร์
จากการใช้นโยบายการคลังในการกระตุ้นเศรษฐกิจตลอดหลายปีที่ผ่านมานับแต่การแพร่ระบาดของ COVID-19 สหรัฐฯ กำลังเผชิญกับระดับหนี้สาธารณะที่สูงถึงกว่า 30 ล้านล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น 120% ของ GDP โดยจากนโยบายการคลังล่าสุด ยังคงบ่งชี้ถึงระดับหนี้ที่อาจสูงขึ้นต่อไปได้อีก ส่งผลให้ในช่วงที่ผ่านมา ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ปรับตัวลดลงมาตลอด โดยดัชนี USD Index ปรับตัวลดลงมากกว่า 10% นับจากต้นปี โดยจากประเด็นด้านระดับหนี้สาธารณะที่คงอยู่ในระดับสูง ประกอบกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในระยะถัดไป รวมไปถึงความเป็นไปได้ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ ส่งผลให้นักวิเคราะห์คาดว่าแนวโน้มค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ น่าจะยังอ่อนค่าลงต่อในครึ่งปีหลัง
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในระยะสั้นค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จะเผชิญกับปัจจัยด้านลบและมีความพยายามจากประเทศอื่นๆ ในการพยายามหลีกเลี่ยงการพึ่งพาค่าเงินดอลลาร์ผ่านทางการลดการถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ แต่เมื่อพิจารณาจากความสำคัญและบทบาทของสหรัฐฯ ที่มีต่อเศรษฐกิจ การค้า รวมไปถึงสังคมโลกแล้ว เรามองว่าดอลลาร์สหรัฐฯ จะยังคงรักษาสถานะการเป็นค่าเงินหลักของโลกได้ต่อไป
มุมมองการลงทุนครึ่งปีหลัง: ค่าเงินจะช่วยหนุนตลาด Emerging Markets
จากแนวโน้มการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐฯ ในระยะสั้น ประกอบกับการที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นมาอย่างต่อเนื่องจนระดับ valuation สูงเกินค่าเฉลี่ยนย้อนหลังไปมากแล้วนั้น เรามองว่าเป็นโอกาสในการลงทุนในตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา หรือ Emerging Markets โดยเฉพาะฝั่งเอเชีย ที่ยังคงมีระดับ valuation น่าสนใจ และมักจะสร้างผลตอบแทนได้ดีในช่วงเวลาที่เงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลง โดยค่าเงินของประเทศเหล่านี้ที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นปัจจัยหนึ่งที่ดึงดูด fund flow จากนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในตลาดเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ควรเฝ้าระวังและพิจารณาประกอบ คือผลกระทบจากนโยบายการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งคาดว่าในระยะเวลาอีกไม่นานน่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนมากขึ้น