ในช่วงปี 2025 ที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยนั้นต้องเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน โดยล่าสุดบริษัทจัดอันดับเครดิต Moody’s ได้ปรับลดแนวโน้มอันดับเครดิตของประเทศไทยลงสู่มุมมองเชิงลบ (Negative) จากเดิมที่เป็นมุมมองมีเสถียรภาพ (Stable) เพื่อสะท้อนถึงความเสี่ยงที่ความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจและการคลังของประเทศไทยจะอ่อนแอลง โดยให้เหตุผลถึงการขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ที่จะมีผลกระทบต่อไทยซึ่งเป็นระบบเศรษฐกิจเปิดต่อการส่งออก-นำเข้าของโลก ที่เป็นสัดส่วนต่อขนาดเศรษฐกิจค่อนข้างสูง ซึ่งจะส่งผลในลำดับถัดมาต่อสถานะทางการคลังของไทยในแง่ของระดับหนี้สาธารณะจำนวนไม่น้อยเมื่อเทียบกับขนาด GDP ตามการฟื้นตัวที่อ่อนแอของเศรษฐกิจไทยและการใช้งบประมาณแบบขาดดุลในระดับสูงที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการลดหนี้ อย่างไรก็ตาม ณ ปัจจุบัน Moody’s ยังคงอันดับเครดิตของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ไว้เช่นเดิมที่ระดับ Baa1
แม้ว่าประเทศไทยจะดูมีความเสี่ยงจากปัจจัยมหภาคต่างๆ อย่างไรก็ตาม พบว่าการลงทุนในตราสารหนี้รัฐบาลไทยนั้นกลับให้ผลตอบแทนอย่างโดดเด่นในปีนี้ โดยเฉพาะในพันธบัตรรัฐบาลรุ่นระยะยาว โดยหากลงทุนพันธบัตรรัฐบาลรุ่นอายุมากกว่า 10 ปีตั้งแต่ต้นปีนี้ จะได้ผลตอบแทนในช่วงห้าเดือนแรกสูงถึงระดับมากกว่า 5% ซึ่งจะพบว่านักลงทุนต่างชาติมีสถานะซื้อสุทธิพันธบัตรรัฐบาลไทยอย่างโดดเด่นในปีนี้ หลังจากขายสุทธิมา 2 ปีติดต่อกันก่อนหน้านี้
สาเหตุสำคัญที่ทำให้กระแสเงินทุนต่างชาติไหลเข้าพันธบัตรรัฐบาลไทยนั้น มาจากผลของอัตราแลกเปลี่ยนที่เอื้อต่อการเข้ามาหาผลตอบแทนจากค่าเงินบาท และความเชื่อมั่นที่มีต่อพันธบัตรรัฐบาลไทย เริ่มจากสาเหตุตั้งต้นของการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ท่ามกลางความกังวลต่อการเกิดเงินเฟ้อรอบใหม่จากผลกระทบของกำแพงภาษีศุลกากรที่จะทำให้ราคาสินค้าในสหรัฐฯ แพงขึ้นอย่างมีนัยฯ ส่งผลให้กระแสเงินทุนในรูปเงินดอลลาร์ฯ จำเป็นต้องออกมาหาผลตอบแทนนอกสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงการด้อยค่าเงินดอลลาร์ฯ ที่ถือครองอยู่
ในเวลาเดียวกันพบว่าค่าเงินบาทมีโอกาสสูงในการแข็งค่าขึ้น เนื่องจากแนวโน้มเงินเฟ้อไทยที่คาดว่าจะอยู่ในระดับต่ำจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจในไทย รวมถึงการที่ประเทศไทยมีการเก็บออมทุนสำรองระหว่างประเทศสูงถึงมากกว่า 40% ต่อ GDP และมีการสะสมทองคำในทุนสำรองค่อนข้างสูง ดังนั้น การเพิ่มสูงขึ้นของราคาทองคำอย่างโดดเด่นในปีนี้ท่ามกลางภาวะสงครามการค้า ส่งผลให้ฐานะทางการเงินของไทยมีความเข้มแข็งเพิ่มมากขึ้น อีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยหนุนค่าเงินบาทนั่นคือราคาน้ำมันดิบโลกที่อ่อนตัวลง ซึ่งช่วงลดการขาดดุลการค้าของไทย
ดังนั้น โดยสรุปแล้ว การที่พันธบัตรรัฐบาลไทยยังคงมีความเข้มแข็งในมุมมองของฐานะทางการเงินและแนวโน้มค่าเงินบาทที่แข็งค่า จึงส่งผลให้เกิดกระแสเงินทุนเข้ามาลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทยในปีนี้ ซึ่งต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่งเป็นกระเงินเงินทุนที่เข้ามาเพื่อเก็งกำไรในระยะสั้น และสำหรับแนวโน้มเมื่อมองไปข้างหน้า ปัจจัยมหภาคทางเศรษฐกิจที่ได้กล่าวไปข้างต้นจะเป็นตัวกำหนดทิศทางการลงทุนพันธบัตรรัฐบาลไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายการค้าระหว่างประเทศ นโยบายของไทยทางการเงินและการคลัง รวมถึงทิศทางราคาน้ำมันและราคาทองคำซึ่งจะมีผลต่อทิศทางอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งมีปัจจัยจำนวนไม่น้อยที่มีความผันผวนสูงและต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป