ในบทความก่อนๆ นี้ เราเคยได้เขียนถึงแนวคิดในการลงทุนเพื่อการเกษียณผ่านทางกองทุนสำรองเลี้ยงชีพสำหรับพนักงานเงินเดือนไปบ้างแล้ว ซึ่งหนึ่งในหลักการทั่วไป ก็คือการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงในสัดส่วนสูง ในช่วงที่ยังมีอายุน้อยและมีระยะเวลาในการทำงานก่อนเกษียณอีกยาวนาน เพื่อให้เงินต้นงอกเงย โดยหากเกิดการขาดทุนบ้าง รายได้จากการทำงานในแต่ละดือนก็จะยังเพียงพอต่อการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันอยู่ และเมื่อเวลาผ่านไป สัดส่วนของสินทรัพย์เสี่ยงควรจะลดลงเรื่อยๆ เพื่อลดความเสี่ยงของการสูญเสียเงินต้นลงเพื่อเตรียมรองรับกับวัยเกษียณ ที่จะมีค่าใช้จ่ายต่างๆ แต่ไม่มีรายได้อีกต่อไป ซึ่งการลงทุนแบบ Life Path เป็นการนำหลักการนี้เอง มากำหนดแบบแผนการลงทุนให้สอดคล้องกับช่วงอายุของแต่ละคน โดยเน้นในด้านการแบ่งสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ รวมไปถึงทำการปรับสัดส่วนการลงทุนระหว่างทางให้โดยอัตโนมัติในกรณีที่สัดส่วนการลงทุนเปลี่ยนไปจากความเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ หรือในกรณีอายุที่เพิ่มขึ้นทำให้สัดส่วนการลงทุนที่เหมาะสมเปลี่ยนแปลงไป ตัวอย่างแบบง่ายๆ ที่อาจช่วยให้เห็นภาพการลงทุนแบบ Life Path ชัดเจนขึ้น จะเป็นการกำหนดสัดส่วนการลงทุนในช่วงอายุต่างๆ ดังนี้
- เริ่มทำงาน (อายุ 20 – 35 ปี) ลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงสูง เช่น หุ้น 70-90% และสินทรัพย์เสี่ยงต่ำ เช่น ตราสารหนี้ 10-30% เนื่องจากยังมีระยะเวลาลงทุนยาวนาน สามารถรับความเสี่ยงจากการขาดทุนในหุ้นได้ โดยคาดว่าจะได้รับผลตอบแทนโดยเฉลี่ยที่ประมาณ 8-10% ต่อปี
- มีครอบครัว (อายุ 36 – 50 ปี) ลงทุนในหุ้น 40-60% ตราสารหนี้ 30-50% และทองคำ 5-15% โดยในช่วงวัยนี้ อาจมีค่าใช้จ่ายที่จำเป็นเพื่มขึ้น ทำให้ความสามารถในการรับความเสี่ยงลดน้อยลง จึงเน้นการกระจายความเสี่ยงมากขึ้นเพื่อลดโอกาสสูญเสียเงินต้น โดยคาดว่าจะได้รับผลตอบแทนโดยเฉลี่ยที่ประมาณ 5-7% ต่อปี
- เตรียมเกษียณ (อายุ 51 – 60 ปี) ลงทุนในหุ้น 5-20% ตราสารหนี้ 70-80% และทองคำ 5-10% โดยระยะเวลาการลงทุนที่เหลือน้อยลงก่อนการเกษียณ ทำให้สัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงควรจะลดต่ำลงเพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียเงินต้น โดยคาดว่าจะได้รับผลตอบแทนโดยเฉลี่ยที่ประมาณ 2-4% ต่อปี
สัดส่วนข้างต้นนี้เป็นเพียงการยกตัวอย่างเท่านั้น การนำแนวคิดการลงทุนแบบ Life Path ไปใช้จริง ยังต้องพิจารณาปัจจัยต่างๆ ให้รอบคอบเพื่อให้แน่ใจว่าระบบและแบบแผนการลงทุนในแต่ละช่วงอายุนั้นมีความเหมาะสม เช่น ประเภทสินทรัพย์ที่สามารถลงทุนได้ (หุ้นในประเทศ หุ้นต่างประเทศ ตราสารหนี้ภาครัฐ ตราสารหนี้ภาคเอกชน) สัดส่วนการลงทุน ช่วงอายุ ความถี่ในการเปลี่ยนแปลงสัดส่วน ความเสี่ยงที่แต่ละคนสามารถรับได้
จะเห็นได้ว่าแนวคิดการลงทุนแบบ Life Path มีข้อดีที่จะนำมาช่วยให้การลงทุนเพื่อการเกษียณของเราบรรลุเป้าหมายได้หลายอย่าง เช่น มีการกำหนดสัดส่วนการลงทุนที่เหมาะสมในแต่ละช่วงอายุในด้านผลตอบแทนที่คาดหวังและระดับความเสี่ยง และมีการปรับสัดส่วนให้โดยอัตโนมัติโดยที่เราไม่จำเป็นต้องคอยพิจารณาและตัดสินใจอยู่ตลอดเวลา แต่ข้อจำกัดที่ควรต้องพิจารณาก็มีเช่นกัน เช่น ความสามารถในการรับความเสี่ยงที่ไม่เท่ากันของแต่ละคน รวมถึงรายได้ของแต่ละคนในช่วงอายุเดียวกันที่อาจมีความแตกต่างกันก็อาจทำให้สัดส่วนการลงทุนที่กำหนดโดยระบบ Life Path นั้นไม่สามารถทำให้เหมาะสมกับทุกคนได้ นอกจากนี้ สัดส่วนการลงทุนที่กำหนดโดย Life Path โดยทั่วไป จะไม่ได้พิจารณาสภาวะตลาดหรือสภาวะเศรษฐกิจ หรือสังคมในขณะใดขณะหนึ่ง ดังนั้น ในช่วงเวลาที่ไม่เป็นภาวะปกติ เช่น สงครามหรือช่วงวิกฤติเศรษฐกิจนั้น สัดส่วนการลงทุนที่ได้จากแนวคิดแบบ Life Path ก็อาจไม่ได้เป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดเสมอไป